โรคหัวใจแต่กำเนิด
โรคหัวใจแต่กำเนิด
โรคหัวใจแต่กำเนิด
เป็นโรคที่มีความผิดปกติของหัวใจส่วนใดส่วนหนึ่งที่เป็นมาตั้งแต่เกิด แต่บางครั้ง
อาจจะไม่มีอาการทันทีหลังคลอดต้องรอระยะเวลาหนึ่งก่อน จึงจะมีอาการและตรวจพบได้
เช่น พวก ที่มีรอยต่อเชื่อมด้านซ้ายกับด้านขวาของหัวใจ ( large left to right
shunt ) ทั้งหลาย จะฟังไม่ได้ เสียงหัวใจฟู่ ( murmur) ทันทีหลังคลอด
และเด็กก็ไม่มีอาการอะไร จนกระทั่งต่อเมื่อ ความต้านทานของเลือดในปอด (pulmonary
resistance) ต่ำลง มีเลือดไหลผ่านด้านซ้ายไปทางด้านขวาของหัวใจมากขึ้น
เด็กจึงเริ่มมีอาการ และฟังได้เสียงฟู่(murmur) ได้
อุบัติการณ์ (incidence)
ในต่างประเทศพบ 5-8 ต่อเด็กแรกเกิดมีชีวิต ในประเทศไทย พบระหว่าง 1-7 ต่อ 1000 ของเด็กที่คลอดภายในโรงพยาบาล
เข้าใจว่า ในเด็กที่เสียชีวิตระหว่างการคลอดดำเนินอยู่
อาจจะพบโรคหัวใจแต่กำเนิดได้สูงกว่านี้ แต่ยังไม่มีตัวเลขแน่นอน
โรคหัวใจแต่กำเนิดพบประมาณ 1/10 ของความผิดปกติแต่กำเนิดทั้งหมด
ประมาณ หนึ่งในสามของเด็กที่เกิดมา มีโรคหัวใจจะตายภายในหนึ่งเดือนแรก
หลังคลอดถ้าไม่ได้รับการรักษา และพวกนี้ ส่วนมากประมาณ ครึ่งหนึ่ง
จะตายภายในสัปดาห์แรกหลังคลอด สาเหตุส่วนใหญ่
ของเด็กที่ตายในช่วงแรกหลังคลอดเนื่องจาก
-
Hypoplsatic left heart syndrome
-
Transposition of the great artery
-
Pulmonary atresia
สาเหตุ
สาเหตุของโรคนี้ยังไม่ทราบแน่นอน
อาจจะมีสาเหตุหลายอย่างร่วมกัน (multifactorial) ในผู้ป่วยส่วนใหญ่
ประมาณร้อยละ 75 จะไม่สามารถบอกถึงสาเหตุได้ ส่วนที่เหลือประมาณ 10% มี genetic factor,
สาเหตุจาก
enviroment factors ประมาณ 10% ความผิดปกติของ chromosome ประมาณ 5% เช่นใน
Down’s syndrome, Turnes’s syndrome พบว่า
หัดเยอรมันในมารดาที่ตั้งครรภ์ เป็นสาเหตุของโรคหัวใจแต่กำเนิดในเด็กประมาณ 1-2%
เท่านั้น และก็น้อยลงไปเรื่อยๆ เนื่องจาก ผลของวัคซีนที่ได้รับตอนเด็ก
หรือเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ในเด็ก premature หรือ low birth weight ก็จะพบโรคหัวใจได้มากกว่า
เด็กที่คลอดครบกำหนด ประมาณ 2.5 เท่า
โรคหัวใจแต่กำเนิดบางชนิด
พบในเพศหนึ่งเพศในมากกว่า อีกเพศหนึ่ง เช่น PDA,ASD พบในเด็กหญิงมากกว่า
เด็กเพศชาย หรือ Transposition of great artery พบในเด็กผู้ชายมากกว่า
ถ้าครอบครัวใดมีบุตรเป็นโรคหัวใจ
โอกาสของเด็กคนต่อไปที่จะเป็นโรคหัวใจมีประมาณ 2% หรือประมาณ 4 เท่าของปกติ
หลักการวินิจฉัยโรคหัวใจแต่กำเนิด
1.ถามประวัติ และตรวจร่างกายโดยละเอียดและถูกต้อง
2.การถ่ายภาพรังสี เพื่อดูขนาดของหัวใจ และห้องหัวใจ ลักษณะของเลือดที่ปอด
3.EKG เพื่อดูขนาดของหัวใจ arrhythmia สภาวะของกล้ามเนื้อหัวใจ
4.Echocardiography เป็นการศึกษาคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับมา และบันทึกเป็นภาพ
เมื่อผ่านคลื่นเสียงลงไปที่หัวใจ เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลที่ละเอียดมาก
และไม่ทำให้ผู้ป่วยได้รับความเจ็บปวด ปัจจุบัน มีใช้แทบทุกโรงพยาบาล
5.Cardiac catheterization and angiography เป็นการสวนหัวใจโดยการผ่านสายสวนจากเส้นเลือดแดง
หรือดำ เขาไปยังห้องต่างๆของหัวใจ เพื่อวัดความดัน และน้ำเลือดมาหาความเข้มของ
oxygen, การทำ angiography เป็นการฉีดสีเข้าไปยังห้องต่างๆของหัวใจ เพื่อดูรูรั่ว
หรือลิ้นหัวใจที่รั่ว หรือตีบ การสวนหัวใจ และการฉีดสี
จะให้ข้อมูลที่ค่อนข้างแน่นอน ชัดเจน จะทำในรายที่ไม่แน่ใจในการวินิจฉัย
หรือก่อนผ่าตัด เพื่อดูพยาธิสภาพของหัวใจให้ชัดเจน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น